สมการ “ความมั่นคงทางอาหาร” เท่ากับ “ความมั่นคงทางชีวิต”

blog

สมการ “ความมั่นคงทางอาหาร” เท่ากับ “ความมั่นคงทางชีวิต”

กรกฎาคม 11, 2022 By

ปัจจุบันเรื่อง “ความมั่นคงทางอาหาร” (food security) กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องจับตามอง โดยเฉพาะการขาดแคลนอาหารที่แต่เดิมก็เป็นปัญหาใหญ่ของหลายประเทศอยู่แล้ว และยิ่งมาเจอวิกฤติโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก จึงเป็นประเด็นที่มาซ้ำเติมปัญหา “ภาวะความไม่มั่นคงทางอาหาร” (food insecurity) ให้รุนแรงขึ้น โดยขณะนี้บางประเทศเริ่มเข้าสู่สภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร วิกฤตโควิดจึงเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนถึงจุดอ่อนด้านการผลิตอาหารที่ไม่เพียงพอของหลายประเทศทั่วโลก     

นอกจากสถานการณ์โควิดจะเป็นตัวเร่งให้ความมั่นคงทางอาหารของโลกต้องสั่นคลอนแล้ว ความแปรปรวนจากสภาพอากาศสุดขั้ว หรือ Extreme weather ซึ่งในปี 2022 นี้ ทางองค์การสหประชาชาติ (United Nations) หรือ UN ได้ออกมาเตือนอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะเกิดอากาศร้อนจัด หนาวจัด และพายุรุนแรงหรือฝนตกหนักผิดปกติ ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้อัตราการเกิดปฏิกิริยานี้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดภัยแล้งผลกระทบหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ ประชาชนเกิดความอดอยาก จากการขาดน้ำในการอุปโภคบริโภค รวมถึงผลิตผลทางการเกษตรทั้งการเพาะปลูกและการเลี้ยงปศุสัตว์ที่ลดลงจากการที่ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง จนผลผลิตเกษตรปศุสัตว์อาจไม่เพียงพอต่อการบริโภค  

ภาวะโลกร้อนเกี่ยวข้องอย่างไรกับอาหารที่เรากิน?

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของวงจรอาหารของมนุษย์ อย่างเช่น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ฝนที่ตกมากขึ้น และสภาพอากาศที่แปรปรวนแบบสุดขั้ว (Extreme weather) ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ เนื่องมาจากการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมป่าไม้ กินสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมา

คงไม่มีใครแย้งว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศนั่นเอง ซึ่งในฐานะบุคคลธรรมดาเราสามารถเริ่มได้ด้วยการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปรับพฤติกรรมการกินแบบค่อยเป็นค่อยไป

หากถามว่าการปรับพฤติกรรมการกินช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้อย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างผู้ที่กินมังสวิรัติและวีแกนหลายคนที่เปลี่ยนวิถีการบริโภคของตัวเอง ส่วนหนึ่งเพราะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ มีกลุ่มรณรงค์กลุ่มหนึ่งในสหราชอาณาจักรพยายามรณรงค์ให้ผู้ค้าอาหารเอาเนื้อวัวและแกะออกจากเมนูอาหารที่จัดให้นักเรียน (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.bbc.com/thai/international-49277769 ) ส่วนในสหรัฐฯ เบอร์เกอร์แบบวีแกน ปรุงจากพืชแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งรสชาติไม่มีความแตกต่างจากการใช้เนื้อจริงปรุง เพื่อเป็นการงดบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบจากสัตว์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกายคนเรายังคงต้องการพลังงานและสารอาหารสำคัญจากโปรตีน ซึ่งโดยปกติแล้วจะได้รับจากการกินเนื้อสัตว์เป็นหลัก ฉะนั้น จึงควรหาโปรตีนจากพืชผักทดแทน เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ควินัว เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร​ เป็นต้น

ปรับพฤติกรรมการกินลดโลกร้อนได้จริงหรือ?

การกินอาหารสดและลดการกินอาหารแปรรูป-อาหารแช่แข็ง ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจากในกระบวนการผลิตมีขั้นตอนที่ต้องใช้พลังงานมาก ทั้งในการแปรรูป การแช่แข็ง การผลิตบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร และการเก็บรักษา อีกทั้งในการกินอาหารแช่แข็งจำเป็นจะต้องอุ่นให้ร้อนหรือปรุงสุกก่อน จึงต้องใช้พลังงานในการอุ่น-ปรุงอาหารเพิ่มอีกขั้นตอนหนึ่งด้วย ฉะนั้น การกินอาหารที่ทำวัตถุดิบสดใหม่ๆ จึงเป็นวิธีลดโลกร้อนได้ดีกว่า

รวมถึงการกินอาหารตามฤดูกาล เพราะผักผลไม้ที่ปลูกตามฤดูกาลจะใช้วิธีการปลูกแบบธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนและสารเคมีเร่งพืชผักผลไม้ จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการลดพลังงานในการผลิตฮอร์โมนและสารเคมี นอกจากนี้ การกินผักผลไม้ตามฤดูกาลยังมีผลดีต่อสุขภาพ เพราะปลอดภัยจากสารเคมีและมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างเต็มที่

Clean Vegetables กับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร

เราสามารถสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารกับวิกฤตนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างไรบ้าง? ในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตผักสด Clean Vegetables ด้วยความมุ่งมั่นทําการเกษตรรูปแบบใหม่เราสามารถปลูกผักสด ให้ผลผลิตคงที่ มีการออกแบบระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าอย่างน้อยทางเลือกหนึ่งในการส่งออกผลผลิตจากแบรนด์เราก็ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารได้ การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมด้วยองค์ความรู้รวมถึงคิดค้นนวัตกรรมปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์ โดยใช้น้ำให้น้อยที่สุด โดยการใช้ระบบการปลูกภาพใหญ่แบบระบบปิด จึงสามารถคุมปัจจัยภายนอกได้ เช่นควบคุมแสง อุณหภูมิ น้ำ ความชื้น ความเร็วลม เป็นต้น

ส่วนการให้สารอาหารกับผัก เราใช้ระบบนาโนโปนิกส์ (Nanoponics) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่แรกของโลก โดยระบบให้สารอาหารแก่พืช คือการแขวนรากพืชลอยกลางอากาศ จากนั้นจะให้น้ำแบบละอองฝอยที่เล็กมากๆ โดยมีอนุภาคเท่ากับ 5 ไมครอน (เส้นผมของมนุษย์มีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ระหว่าง 50-70 ไมครอน) ทำให้ผักสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดี อีกทั้งระบบนี้ยังสามารถตอบโจทย์เรื่องการใช้น้ำน้อยได้อย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของ Clean Vegetables ที่ผู้บริโภคสามารถที่จะรับประทานผักหลากชนิด โดยยังคงรสชาติความอร่อย สะอาด ปลอดภัย ที่สำคัญยังมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน

ทำเกษตรแบบยั่งยืนนำมาสู่ความมั่นคงทางอาหาร

Clean Vegetables มีแนวคิดการทำเกษตรแบบยั่งยืน นั่นคือการผลิตพืชผักและอาหารตามความพอเหมาะพอดีเป็นหลัก สามารถดูแลได้ทั่วถึงจึงไม่ต้องใช้สารเคมีควบคุมเหมือนการปลูกในปริมาณมาก และเกษตรแบบยั่งยืนจะเน้นไปที่การอนุรักษ์ทั้งทรัพยากรและระบบนิเวศไปพร้อมกันด้วย ที่สำคัญคือเน้นไปที่การทำเกษตรแบบปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค

ณ เวลานี้เราทุกคนสามารถร่วมกันเยียวยาโลกใบนี้ได้ ขอเพียงเริ่มจากทุกฝ่ายต้องตระหนัก ให้ความสำคัญ ร่วมมือกันขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ไม่ใช่เพียงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนด้วย เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนต่อไป เพื่อคืนความมั่นคงทางอาหารให้กลับมาอยู่ในวงจรที่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลกอีกครั้ง

Clean Vegetables พยายามที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการพัฒนาระบบนาโนโปนิกส์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทั้งยั่งยืน รักษ์โลก และอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการนำพาโลกของเราให้ก้าวพ้นวิกฤติภัยความมั่นคงทางอาหารที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคตได้ อย่างน้อยๆ แล้ว ระบบที่เราคิดค้นขึ้น ก็ช่วยลดต้นตอสาเหตุของการทำการเกษตรรูปแบบเดิมที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาโลกร้อนได้ และนี่คงเป็นหนึ่งเหตุผลที่เราหวังอย่างยิ่งว่า ภัยโลกร้อนที่เกิดขึ้นจะบรรเทาลง พร้อมทั้งส่งผลกระทบกับ ความมั่นคงทางอาหารได้น้อยลงเช่นเดียวกัน

ข้อมูลอ้างอิงจาก

https://www.exim.go.th/eximinter/e-news/7315/enews_june2018_trend.html

http://www.polsci.tu.ac.th/fileupload/36/24.pdf

http://cmuir.cmu.ac.th/bitstream/6653943832/39285/4/CHAPTER%202.pdf

Leave us a comment